ทำเพื่อรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “การพิจารณา”
การภาวนาขึ้นกระดูกและสลายลงมาหลายปีแล้ว ต่อมาก็ขึ้นเป็นกายแดง ก็ดูไป มันก็ลงที่กระดูกดังเดิม ต่อมาเป็นกาย ดูไปก็ลงกระดูก ต่อมาเป็นถุงหนัง ถุงหนัง กายแดง กาย เลือด เอ็น เนื้อค่อยเปราะ เปราะออกมาจากหัวถึงเท้า สมองตา ปอด เครื่องใน กระดูก ลงหมด เป็นลักษณะแบบนี้ เป็นซ้ำๆ ดูขึ้นจากเท้าบ้างสลับกันก็ทำได้ แต่จากหัวจะคล่องมาก เพราะขึ้นบ่อยและนานแล้ว จากเท้าเพิ่งขึ้นมา
ต่อมาอยู่ๆ มีหนองขึ้นเต็มไปหมด ก็ดูไป ขึ้นหลายๆ ครั้งจนสลดครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหลังๆ ขึ้นก็ดูไป แต่ไม่สลดมากเท่าครั้งนั้น กิเลสหลอกหรือเปล่าเจ้าคะ จะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ดูมันต่อมา เวลาทำอะไรมีสติกับตัว มันก็จะรู้ว่านี่กระดูก หนังเช่น เดิน อาบน้ำ ทาแป้ง ครีม เพื่อนเอาหนังสือให้อ่าน บอกให้สำรอกราคะ แต่ไม่บอกวิธีการสำรอก โยมไม่เข้าใจเจ้าค่ะ
โยมก็ดูไปเรื่อยๆ ตามเทปที่ฟัง จิตมันก็ตื่นอยู่ที่กาย ดูกายไปเรื่อยๆ เจ้าค่ะไม่ง่วงไม่เพลียเจ้าค่ะ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ หรือถูกกิเลสหลอกอย่างที่พระอาจารย์เคยพูด กราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่ะ
ตอบ : เวลาคำถาม ปัญหามา เวลาตอบปัญหา ถ้าพูดถึงเราไปหาครูบาอาจารย์ เวลาถามปัญหาครูบาอาจารย์ อย่างเช่นเวลาหลวงปู่ขาวท่านไปกับหลวงปู่แหวน ท่านจะไปกราบหลวงปู่มั่น เวลาท่านไปกราบหลวงปู่มั่น นี่หลวงปู่เจี๊ยะหรือหลวงตาเล่าให้ฟังจำไม่ได้
ท่าน ๒ คนนั่งคุยกันว่า อาจารย์จะรู้ถึงความคิดเราหรือเปล่าเนาะ อาจารย์จะรู้วาระจิตเราหรือเปล่าเนาะ จะไปกราบหลวงปู่มั่น ท่าน ๒ คนกำลังจะไปกราบหลวงปู่มั่น ท่าน ๒ คนก็เดินธุดงค์ไป แล้วท่าน ๒ คนก็คุยกันว่าอาจารย์จะรู้วาระจิตของเราหรือเปล่า อาจารย์จะรู้ว่าเราคิดอะไรหรือเปล่า
พอขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านใส่เอา “หัวใจของตนล่ะไม่ดู อยากจะให้คนอื่นมาดูหัวใจของตน หัวใจของตนก็ไม่รู้จักรักษา คนที่เขาจะรักษา เขารักษาหัวใจของตน ใครเจ็บไข้ได้ป่วย คนนั้นเขาก็รักษาใจของเขา ไอ้นี่ว่า ใครจะมารู้ใจของเราหรือเปล่า ใครจะมารู้ใจของเราหรือเปล่า มันเรื่องข้างนอกทั้งนั้นเลย” นี่หลวงปู่มั่นท่านเทศน์เอาไง นี่พูดถึงว่าเวลาหลวงปู่ขาวกับหลวงปู่แหวนท่านธุดงค์แล้วท่านไปหาหลวงปู่มั่น
เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านธุดงค์ไป ท่านจะมีความรู้สึกนึกคิดสิ่งใดก็แล้วแต่ ท่านจะระลึกถึงอาจารย์ของท่านว่าอาจารย์ของท่านจะแก้ไขอย่างไร จะคอยชี้นำอย่างไร นี่พูดถึงว่าสมัยครูบาอาจารย์ของเรานะ ที่เป็นครูบาอาจารย์ตามความเป็นจริง
ฉะนั้น เวลาคุยถามตอบปัญหาธรรมะกัน ถ้าเป็นเจ้าตัวเขามา เหมือนคนป่วยคนป่วยไปหาหมอ หมอเขาจะตรวจอาการนั้นจากสมุฏฐานของโรคได้ แล้วเขาสามารถจะตอบถามได้ว่า ความเป็นอยู่อย่างไร กินอะไรเข้าไปถึงเป็นพิษ อย่างนี้มันก็จะตอบได้
แต่นี่ไม่อย่างนั้น เขียนไง แพทย์ทางไกลไง รักษากันทางไกล ก็เขียนคำถามมาเลย พอเขียนคำถามมาเลย เมื่อวานก็เขียนมา เขียนถึงโลงศพ เมื่อวานเราก็ตอบไป บอกว่าตอบตามตัวอักษร ตอบตามความนั้น แต่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เห็นมันเห็นได้หลากหลายนัก
เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย มันเจ็บไข้ได้ป่วย มันมาจากสมุฏฐานของโรคหลากหลายนัก แล้วเวลาหลากหลาย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นไปมันก็มีอาการตัวร้อน มีอาการไข้ แล้วอาการไข้มันมาจากไหนล่ะ ถ้าอาการไข้ มันก็ต้องซักเข้าไปว่าอาการไข้มันเกิดจากอะไร เกิดจากกินของเป็นพิษหรือเปล่า เกิดจากลมแดดหรือเปล่า เกิดจากอากาศเป็นพิษไหม มันหลากหลาย ถ้าหลากหลาย มันจะสอบถามกันได้ ฉะนั้น เวลาถ้าไปหาครูบาอาจารย์ ถ้าตอบถามธรรมะกันมันจะชัดเจน
แต่ถ้ามันเป็นการถามทางไกลอย่างนี้ ใครๆ ก็เขียนได้ใช่ไหม ฉันก็เขียนได้เมื่อคืนนั้นน่ะนอนฝันไป ฝันว่ายักษ์ ๒ ตนมันเข้ามาบีบคอฉัน จริงไม่จริงก็ไม่รู้ ฉันเขียนของฉัน เพราะฉันเขียนเอง
เมื่อวานถึงได้ตอบไป ตอบไปด้วยความเห็นใจนะ ด้วยความเห็นใจว่า เวลาคนถ้าไปรู้ไปเห็นเข้ามันรู้เห็นด้วยหลากหลายวิธี หลากหลายวิธี มันจะเข้าสู่ธรรมะหรือมันจะเข้าสู่อำนาจวาสนาบารมีของตน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ นี่พูดถึงว่าเมื่อวานนั้น เขาบอกว่าเขาเห็นโครงกระดูกของเขา
แล้วเวลานักปฏิบัติด้วยกัน เวลานั่งอยู่นี่ เวลาได้ยินว่า โอ้โฮ! เขาเห็นโครงกระดูก โอ้โฮ! เขาต้องพิจารณาเก่ง เขาต้องทำอย่างยอดเยี่ยมเลย เขาถึงเป็นไปได้ จริงไหม แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นมาท่านจะรู้เลยว่ามันจะเป็นมาอย่างใด
นี้ย้อนกลับมาตรงคำถามวันนี้ การภาวนาขึ้นกระดูก เห็นกระดูกมันสลายลงๆ
ไอ้พวกเรานักภาวนานี่ก็บอก โอ้โฮ! ทำไมมันยอดเยี่ยมขนาดนั้น ไอ้พวกเราภาวนาเกือบเป็นเกือบตายไม่เห็นได้อย่างนี้เลย
อ้าว! ถ้ามันได้อย่างนี้ เราได้โดยสติสัมปชัญญะ เราได้แบบว่าเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในโลกแห่งความเป็นจริง เห็นไหม เราเป็นนักธุรกิจ เราจะทำสิ่งใดเพื่อจะเสนอสินค้าของเราไป สินค้าของเราต้องมีคุณภาพ สามารถที่จะแข่งขันในท้องตลาดได้ ถ้าสินค้าของเราเข้าไปในตลาดแล้วแข่งขันได้ สินค้าของเราก็จะจำหน่ายได้ สินค้าของเรา เราทำของเรา เราว่าสุดยอด แล้วเวลาไปหาลูกค้า ลูกค้าบอกว่ามันดีไม่ดี ดี ทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ เงียบเลยนะ ถ้าดีก็เก็บไว้เองสิ อ้าว! ก็ดีของผู้ผลิตไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรารู้เราเห็น เรารู้เห็นด้วยวิธีการอย่างใด ถ้าเรารู้เห็นด้วยความเป็นจริงนะ ด้วยความเป็นจริงสินค้านั้นดีนะ โอ้โฮ! มันจะร่ำลือไปทั่วโลกเลย เข้าแถวจองกันเป็นหางว่าวเลย สินค้าผลิตไม่ทันน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความดีนะ เป็นความดีของเรานะ โอ้โฮ! มันจะชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปเลย
แต่นี่พิจารณากายขึ้นเป็นกระดูกเลย แล้วพิจารณาลงไปเลย นี่มันคืออะไรมันพิจารณาลงไป ลงไปอย่างนี้มันเป็นได้อย่างไร เห็นไหม เราเข้าไปในร้านอาหาร ก่อนเข้าไปร้านอาหารจะเห็นอะไรก่อน เห็นเมนูของมันนะ โอ้โฮ! ข้าวขาหมู โอ้โฮ! รูปส๊วยสวย ก๋วยเตี๋ยวเป็ด โอ้โฮ! มันส๊วยสวย แต่ยังไม่ได้สั่ง มันเป็นเมนูอาหารไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นสัญญาไง เวลาเราทำ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราจินตนาการก็ได้ เราทำอย่างไรก็ได้ มันก็เป็นจิตนี้เป็นได้ทั้งนั้น เป็นได้หลากหลายนัก
แต่ถ้าเราสั่งนะ เราเข้าไปในร้านอาหารใช่ไหม เราก็สั่งเอาข้าวขาหมู เขาก็เอามาตั้งไว้ให้ ถ้าเรานั่งอยู่ครึ่งวันไม่กินนะ เดี๋ยวข้าวขาหมูก็บูด แล้วถ้าเก็บไว้นะข้าวขาหมูมันจะเน่า เพราะอะไร เพราะมันเป็นข้าวขาหมู มันมีไขมัน เดี๋ยวมันเก็บไว้มันจะเน่าเสีย แต่ถ้าเมนูอาหารนะ เขาติดไว้เป็นอาทิตย์ก็ไม่เป็นไรนะ
ถ้ามันเป็นสัญญา เห็นไหม นึกเอา ที่ว่า ถ้าเป็นภาพโครงกระดูกขึ้นมาแล้วมันสลายลง แล้วมาหลายปีแล้ว คำว่า “มาหลายปีแล้ว” แสดงว่าไม่ถูกต้อง
ถ้าถูกต้องนะ ถ้ามันเห็นปั๊บ เพราะถ้าพิจารณากาย พอกายมันสลายลง กายมันสลายลง จิตมันเหลืออะไร ความรับรู้มันเหลืออะไร และผลจากการพิจารณามันคืออะไร แล้วถ้ามันต่อเนื่องไป
ไอ้นี่มันพิจารณากาย กายก็สลายลงไป มันก็เหมือนดูหนังการ์ตูนไง ดูรอบหนึ่งก็เออ! สนุก มาฉายซ้ำ เออ! ก็สนุกอยู่ พอฉายต่อไป เออ! ยิ่งสนุกใหญ่เลย ก็หนังการ์ตูนไง
แต่ถ้ามันเป็นการรักษาโรค ธรรมโอสถ ธรรมโอสถนะ เวลาพิจารณากายกาย เวลาพิจารณากาย จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นกายตามความเป็นจริง ถ้าจิตเห็นกายตามความเป็นจริง จิตถ้ามันพิจารณาของมัน ถ้ามันสลายลง มันสลายลงแสดงว่ามันเป็นไตรลักษณ์ ถ้ามันเป็นไตรลักษณ์ เป็นไตรลักษณ์ในมรรค พอในมรรค จิตมันจะกระเทือน ถ้าจิตมันกระเทือนขึ้นมา ที่มันพิจารณาไปแล้วถ้ามันจะรู้จริง
แต่ถ้ามันพิจารณา เขาบอกมันแปลก มันแปลกตรงนี้ไง คำว่า “มันแปลก” อริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้าใครทำถูกต้องดีงามแล้วมันจะต้องได้รับผลตามความเป็นจริง แต่ถ้าเราพิจารณาของเราแล้ว ถ้ามันอริยสัจมีหนึ่งเดียว
แต่เราพิจารณาไม่เข้าสู่อริยสัจ เราเข้าสู่สัญญาอารมณ์ของเรา เข้าสู่จินตนาการ เข้าสู่ มันเป็นอย่างนั้น แล้วเราเคยทำได้ มันก็คิดจะทำซ้ำๆ ของมันไปไง การทำซ้ำๆ เหมือนฝันน่ะ คนฝันแล้วฝันเล่า ฝันซับฝันซ้อนอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่มันแก้ฝันอันนั้นไม่ได้ไง
แต่ถ้าการพิจารณาของมันเป็นจริงนะ ถ้าลองมันเป็นจริงตามที่เขียนมานี้มันจะรู้จริงในใจมหาศาลเลย แต่ที่เขียนมานี่ก็เขียนมาบอก พิจารณากระดูกมันสลายลง เป็นมาหลายปีแล้ว
ถ้าเป็นมาหลายปีนะ เคยเป็นมาหนหนึ่ง เคยเป็นหนนั้น พิจารณาแล้วมันสลายลง แล้วไม่ได้ทำอะไรมาอีกเลยหลายปีแล้ว อย่างนี้ได้ แต่ถ้าทำมาต่อเนื่องๆมา มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนเราฝันน่ะ เราจะฝันเรื่องเดียวกันเป็นปีๆ ได้ไหม ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะฝันเรื่องเดียวแล้วซ้ำๆกันอยู่ทั้งปี เป็นไปไม่ได้ แล้วถ้ามันฝันหนหนึ่ง แต่เราจำมาเป็นปีๆ น่ะได้ ถ้าจำมาเคยฝันหนนั้นแล้วจำมาเป็นปีๆ เลย แล้วต่อมาพิจารณาเป็นถุงหนัง ถุงแดง มันเปลี่ยนของมันไปเป็นเลือด เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าจิตมันสงบนะ ถ้ามันเห็น การเห็นเป็นหนัง เห็นเป็นต่างๆ ก็เห็นได้ยากแล้ว แล้วถ้ามันเห็นตามความเป็นจริงนะเห็นตามเป็นจริง นี่พูดถึงว่าวิธีการเห็นไง
ต่อมามันมีหนองอะไรขึ้นไป มันแปลก มันแปลกนะ ถ้ามันแปลกนะ จะบอกว่า เขาบอกว่า มันมีเพื่อนเอาหนังสือให้เขาอ่าน ว่าให้สำรอกคายราคะ แต่เขาบอกเขาจะคายราคะอย่างไรล่ะ จะคายราคะอย่างไร
คำที่จะคายราคะนะ สมมุติว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ใครก็แล้วแต่กินอาหารที่เป็นพิษ เขาต้องล้างท้อง ล้างท้อง เขาต้องเอาน้ำล้างท้องกรอกเข้าไปในปากเพื่อเข้าไปในกระเพาะเพื่อให้มันสำรอกคายออกมา นี่เขาจะล้างท้อง เขาต้องมีร่างกายของเรา เขาต้องมีกระเพาะอาหารเขาถึงจะล้างท้องผู้นั้น
นี่ก็เหมือนกัน จะสำรอกคายกิเลส มันคายที่ไหนล่ะ ใครจะเป็นคนคายล่ะกิเลสของใครล่ะ ถ้ากิเลสของพระพุทธเจ้าไม่มี กิเลสของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านไม่มีกิเลสแล้วท่านจะเอาอะไรไปสำรอก มันก็ต้องกิเลสของเรานั่นแหละ แล้วเราอยู่ที่ไหนล่ะ
อ้าว! ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไปโรงพยาบาลสิ ล้างท้อง เดี๋ยวพยาบาลเขาจัดการให้ แต่นี่เราจะสำรอกกิเลส ไม่มีใครจะสำรอกกิเลสให้เราได้ มีแต่ว่าเราตั้งสติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ต้องทำสมาธิให้ได้ก่อน ต้องหาตัวจิตให้ได้ก่อน เพราะตัวจิตนั้นจะเป็นผู้ที่สำรอก ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้ว เวลาจิตสงบเข้ามาแล้ว จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องหนึ่ง
ไอ้นี่มันจิตสงบหรือเปล่า เขียนว่าเห็นกายมาเป็นปีๆ สำรอกออกมาตลอดมันย่อยสลายมาเป็นปีๆ
ถ้าไปพูดอย่างนี้กับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัตินะ เขาก็งงนะ เพราะอะไร นี่ไง เวลาอภิธรรมเขาพูด พูดว่า ทำตามพุทธพจน์ ใช้ปัญญาตามพุทธพจน์ ก็ทำตามพระพุทธเจ้าหมดแล้ว แล้วพวกเรา เราทำกันเอง นี่สาวกภาษิต ของเขา เขาถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลยนะ อภิธรรมน่ะ แล้วเขาก็ทำ ก็อย่างนี้ นี่ไง “ภาวนาแล้วขึ้นกระดูก แล้วมันสลายลงมาหลายปีแล้ว”
นี่พูดถึงครูบาอาจารย์เราก็สอนอย่างนี้ไง สอนเรื่องพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ไงพิจารณากายให้เป็นไตรลักษณ์ไง นี่ก็พิจารณาเป็นปีๆ แล้วไง แล้วทำไมถ้าอย่างนี้แล้ว ถ้าโดยทั่วไปไอ้พวกกรรมฐานส่องบาตรมันก็เออ! จำนนเลยนะมึง เขาทำถูกแล้ว เออ! แล้วจะให้เขาเป็นโสดาบันหรือเปล่า จะให้เขามีมรรคมีผลหรือเปล่าเขาก็ทำถูก แต่มันถูกโดยสัญญา โดยทฤษฎี มันไม่มีความเป็นจริงไง ถ้าไม่มีความจริง
ความจริง ถ้าตามความจริงของครูบาอาจารย์เรา ครูบาอาจารย์เราถึงบอกว่า ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
ไอ้เรื่องคำสอนเรื่องพุทธพจน์มัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ครูบาอาจารย์เราท่านก็สั่งสอนมาทั้งนั้นน่ะ ทีนี้เวลาหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการอะไรที่เป็นความสำคัญ ท่านจะข้ามไปๆ ท่านบอกตรงนี้สำคัญ เดี๋ยวกิเลสมันจำพอจำแล้ว ไอ้พวกปฏิบัติมันจะมีปัญหาทันที
นี่ไง นี่พูดถึงเวลาภาวนาไป เราจะบอกว่าโยมไม่ได้จำ แต่ไม่ได้จำ ถ้ามันเป็นขึ้นมาอย่างนี้ปั๊บมันก็เป็นอำนาจวาสนาของคน ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของคนอำนาจวาสนาคือว่าธรรมเกิด อำนาจวาสนาคือส้มหล่น ส้มหล่นเป็นแบบนี้ แต่เราไม่ได้บริหารจัดการ เราไม่ได้เป็นคนกระทำ ถ้าเราเป็นคนกระทำ เราเป็นคนบริหาร เราจะบริหารอย่างไร
ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา อย่างใดก็แล้วแต่เราต้องมีจิตของเรา จิตของเรา จิตเห็นอาการของจิต จิตเป็นผู้เห็น จิตเป็นผู้เห็นกาย ถ้าจิตเป็นผู้เห็นกาย ถ้าสติปัญญามันไม่พร้อม มรรคไม่มีกำลัง มันจะให้มันย่อยสลายไม่ได้ มันจะเห็น ยังเห็นไม่ได้เลย จะเห็นกระดูก เห็นอะไร ยังเห็นไม่ได้เลย แต่จะเห็นกระดูกก็ตัดรูปกระดูกมาแปะไว้ อืม! นี่รูปกระดูก จะดูกระดูก ไอ้นี่มันรูปภายนอกไง ที่เขาทำกัน เห็นไหม พระเขาส่งเสริมกัน เขาพิมพ์รูปอสุภะ ทำหนังสือแจกกันน่ะ ไอ้นั่นมันเศษกระดาษ
อสุภะมันขึ้นกลางจิตนี่ จิตสงบแล้วนะ มันเห็น มันเห็นอยู่ข้างในนี่ อสุภะมันอยู่ที่นี่ อสุภะไม่อยู่ในหนังสือหรอก อสุภะไม่ได้อยู่ที่แท่นพิมพ์ ไอ้แท่นพิมพ์นั้นมันเป็นเรื่องความคิดของโลกที่เขาอยากจะสร้างบุญกุศล
แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมา อริยบุคคลเกิดแต่ละองค์มันเกิดในใจของบุคคลคนนั้นบุคคลคนนั้น บุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจิตสงบแล้ว จิตเป็นผู้เห็นจิต จิตเป็นผู้ค้นคว้า ถ้าจิตค้นคว้า จิตเห็นจริงขึ้นมา นั่นน่ะปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตดวงนั้นน่ะจะเป็นอริยบุคคลขึ้นมา แล้วถ้าเป็นอริยบุคคลขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนี้ เห็นไหม
เพราะเขาเขียนมาเขาบอกว่า โดนกิเลสหลอกหรือเปล่า
ถ้ากิเลสหลอกหรือเปล่า ถ้าเรามีการศึกษา เราจะทำอะไรมันต้องแบบว่าเราเรียนมาแล้วเรากลัวผิด เราก็ต้องทำให้เหมือนกับสิ่งที่เราเรียนมา ฉะนั้น ถ้าเราจะให้จริง เราวางไว้ เรียนมาแล้ว ดูสิ เวลาหลวงตาท่านเป็นมหา ไปหาหลวงปู่มั่น
“มหา สิ่งที่มหาเรียนมา ธรรมะของพระพุทธเจ้าประเสริฐมากนะ เราเทิดใส่ศีรษะไว้ คือเราเชิดชูบูชานะ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่เราเชิดชูบูชา แต่มันเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า พวกเรายังทำอะไรกันไม่เป็น ทำไม่ได้ เราเชิดชูบูชา เราศึกษามาในสมอง เราก็เก็บใส่ลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วเราปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นจริงปั๊บ มันจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันเป็นอันเดียวกันน่ะ”
ไอ้นั่นมันเป็นเมนู ไอ้นี่มันเป็นความจริง มันเป็นทฤษฎี หลวงปู่มั่นท่านถึงให้เก็บใส่ลิ้นชักไว้ ลิ้นชักสมอง แล้วลั่นกุญแจมันไว้ แล้วเราปฏิบัติไป พอเป็นความจริง เหมือนกัน เหมือนกันเลย แล้วมันจะเป็นประโยชน์ตอนนั้นไง
ทีนี้เราก็มีการศึกษามา พอมีการศึกษามา เราทำให้เหมือนเลย เราเหมือนทุกอย่าง จินตนาการมาได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วตอนนี้บอกว่า มันเป็นปีๆ แล้ว มันไม่เห็นมีอะไรเลย กระดูกก็สลายไปแล้ว ถุงหนัง กายแดง เป็นเลือด เป็นเอ็น ก็สลายไปหมดแล้ว แล้วมันจะทำอย่างไรต่อ ทำอย่างไรต่อ
เวลาเราสอนนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนที่ท่านมีหลักเกณฑ์นะ ท่านบอกให้พุทโธ ใครจะสูงส่งขนาดไหน จะไปด้นฟ้า จะไปโลกไหนนะ ถ้ามาหาพระสงบนะให้แก้อย่างไร “พุทโธ” ถ้ามึงพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าสติสัมปชัญญะมึงกลับมานะ มึงจะกลับมาเป็นปกติ ถ้ากลับมาเป็นปกติ กลับมาปฏิสนธิจิต ถ้ามึงกลับมาได้ก็จบ
สิ่งที่ออกไปมันส่งออกหมด จิตออกไปรู้ทั้งนั้น จิตมันออกไปทั้งหมด ถ้าจิตเอ็งกลับมาที่ตัวจิตแล้ว ทุกอย่างจบหมด เราสำนึก เรามีสติสัมปชัญญะในตัวของเรา มันจะมีอะไรมาชักนำเราออกไปได้ สิ่งที่ออกไปนี่มันโง่ ออกไปรับรู้ทั้งนั้น
แล้วออกไปรับรู้ คำว่า “ออกไปรับรู้” มันไม่มีสมาธิไง ออกไปรับรู้ มันก็เหมือนกับความจินตนาการคือเราคิดนี่ไง เราคิด เราศึกษา เราอยากรู้เรื่องอะไรเราก็ค้นคว้า ค้นคว้า จิตมันก็ออกไปศึกษา แล้วมันก็ออกไปเห็น ไปรู้เห็น ก็แค่นั้นน่ะ แล้วก็ถูกต้อง ถูกต้องตามทฤษฎีหมด แล้วถ้าจะแก้ล่ะ
พุทโธ กำหนดพุทโธให้ได้ แล้วถ้ากำหนดพุทโธได้ จิตมันจะกลับมาที่ตัวจิตถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นคือตัวเราเอง ตัวจิตอุดมสมบูรณ์สมบูรณ์ในตัวมันเอง ถ้าสมบูรณ์ในตัวมันเองแล้ว แล้วค่อยน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงจะเป็นจริง
ถ้ายังไม่เห็นเป็นจริง มันเป็นปีๆ นี่ไง นี่เขาบอกว่า “มีเพื่อนเอาหนังสือมาให้อ่าน บอกให้สำรอกราคะ แต่ไม่บอกวิธีไง การสำรอก โยมก็เลยไม่เข้าใจค่ะ แล้วจะสำรอกอย่างไรล่ะ”
เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ต้องความเป็นจริง นี่พูดนะ พูดเปรียบเทียบให้เห็นภาพเฉยๆ ดูหมา หมามันกินอาหารมา เวลามันสำรอก มันอ้วกออกมานั่นน่ะ หมามันอ้วกออกมาเพราะมันขย้อนอาหารในกระเพาะมันออกมา
แต่นี่แล้วจิตมันอยู่ที่ไหน ใครจะสำรอก กิเลสมันอยู่ที่ไหน เรารู้จักกิเลสไหมนี่ก็เหมือนกัน เราไม่รู้จักกิเลส เราไม่เห็นกิเลส เราจะแก้กิเลสได้อย่างไร
ถ้าเราจะแก้กิเลส เราต้องรู้จักกิเลสก่อนไง นี่พูดถึงการปฏิบัตินะ การพิจารณา ฉะนั้น สิ่งที่โยมจะพิจารณามามากน้อยแค่ไหนที่มันเป็นไป เขาบอกว่า มีอยู่คราวหนึ่งมันสลดสังเวช
ก็ได้หนเดียวเท่านั้นน่ะ สลดสังเวชนะ มันต้องกลับมาที่สมาธินี่ กลับมาที่ทำความสงบของใจนี่ ถ้าใจสงบแล้ว แล้วค่อยออกไปพิจารณาใหม่ ถ้าสงบแล้วมันจะไม่เห็นเลย ไอ้ที่ว่าเห็นกาย เห็นถุงหนังเห็นถุงแดงต่างๆ มันจะไม่เห็นเลยแล้วถ้ามันเห็นแล้วต้องพยายามอีก เพราะการเห็นเป็นงานอันหนึ่ง การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นงานอันหนึ่ง การพิจารณากิเลสเป็นงานอีกอันหนึ่ง มันมีงานของมันหลายซับหลายซ้อนในการปฏิบัติ แล้วถ้าปฏิบัติได้ อย่างนี้มันถึงจะเป็นสำรอกไง
ฉะนั้น นี่ยังบอกว่า เมื่อวานนั้นพูดถึงว่าเห็นซากศพนะ เห็นซากศพนั้น เขาบอกว่าเขาสวดมนต์แล้วเขาเห็น เราถึงบอกว่ามันเป็นส้มหล่น แต่อันนี้เขาพิจารณาเลย เห็นกระดูกมา พิจารณามานาน ไม่เห็นมันได้อะไรเลย
มันบอกในตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่ได้อะไรเลยแสดงว่าทำไม่ถูกต้อง ถ้าทำถูกต้อง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้ามันไม่สมควร ผลมันไม่มี ถ้ามันสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามสมบูรณ์ ผลมันจะเต็มที่ ถ้าเต็มที่แล้วมันก็จะเป็นปัจจัตตัง มันจะรู้ของมัน นี่มันจะสำรอกอย่างนั้นนี่พูดถึงการพิจารณา
ถาม : เรื่อง “ไม่มีการไป ไม่มีการมา”
พอนึกถึงเวลาไปงานศพ ยืนอยู่บนเมรุ คิดว่า มาก็มาคนเดียว ไปก็ไปคนเดียว ไม่ได้เอาอะไรมา ไม่ได้เอาอะไรไป แล้วก็คิดไปถึงคำว่า “ไม่มีการไป ไม่มีการมา” เกิดสนใจ ไปค้นจากอินเทอร์เน็ต มีพระรูปหนึ่งตอบโดยอ่านจากหนังสือฟังแล้วเวียนหัวมาก เลยต้องรบกวนหลวงพ่อช่วยตอบ ขอบคุณหลวงพ่อตอบปัญหา
ตอบ : โอ๋ย! ตายห่าเลย เลยสุดท้ายก็ต้องมารบกวนหลวงพ่อนะ เวลาเอ็งเที่ยวสนุกกัน เอ็งก็ไปสนุกกันเนาะ เวลาเอ็งเอากระดูกมาแขวนคอกูทั้งนั้นน่ะ
ทีนี้เพียงแต่ว่า คำนี้ เวลามันไป “ไม่มีการไป ไม่มีการมา” มันเป็นเริ่มต้นน่าจะมาจากมหายาน แต่คำนี้หลวงปู่มั่นก็ใช้ หลวงตาก็ใช้พูดบ่อย เวลาท่านเทศนาว่าการ เวลาถึงที่สุดแล้วมันไม่มีการไปและไม่มีการมา การที่ว่าไม่มีการไปและไม่มีการมา มันเหมือนจะบอกถึงว่านิพพานนั่นแหละ ถึงเวลาบอกถึงนิพพาน ถึงตรงนั้นน่ะ ไม่มีการไปและไม่มีการมา
เราจะบอกว่า ถ้าบอกว่ามันไม่มี นิพพานคือไม่มี ไม่มีนิพพาน ผู้ที่ปฏิบัติถึงนิพพานเขาจะได้สมบัติของเขาอย่างไร ถ้าบอกว่ามี มีก็เป็นภวาสวะ เป็นภพขึ้นมาอีก ไอ้ผู้ที่ไม่มี ผู้ที่ไม่รู้ เวลาจะตอบนะ มันก็ตอบไปโดยทางวิชาการ พอตอบโดยทางวิชาการ มันก็เหมือนคำถามที่ว่านี่แหละ มีพระองค์หนึ่งเขามาตอบ เวลาตอบเขาตอบแล้ว เวลาโยมบอกเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตเวียนหัวมากเลย
เวียนหัวมากเพราะคนมันไม่รู้ คนเรานี่นะ เราไม่เคยรู้เคยเห็น แต่เราพยายามจะจินตนาการ เราจะอธิบายในทางวิชาการ เวลาอธิบายในทางวิชาการมันขัดแย้งกันไปหมดน่ะ แต่ถ้าคนที่เขามีความรู้จริงของเขา เวลาเขาอธิบายของเขา เขาอธิบายนะ มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี เวลาหลวงตาท่านพูด มีเหมือนไม่มีไม่มีเหมือนมี
ฉะนั้น เวลานิพพานในพระไตรปิฎกนะ มันมีที่พระพุทธเจ้าตอบ พระพุทธเจ้าตอบว่า เขาไปถามเรื่องนิพพาน พระพุทธเจ้าจุดเทียนไว้ แล้วก็ดับเทียน แล้วก็ถามคนถามน่ะ “เห็นไฟเมื่อกี้นี้ไหม”
“เห็น”
“ตอนนี้เห็นไหม”
“ไม่เห็น”
“นั่นน่ะนิพพาน”
ยิ่งงงเข้าไปใหญ่เลย นึกว่าตอบแล้วจะเข้าใจ ยิ่งตอบแล้วไอ้คนถามยิ่งงงใหญ่
จุดเทียน “เห็นเทียนไหม เห็นไฟไหม” “เห็น” ท่านก็ดับไฟชับ! “เห็นไฟไหม” “ไม่เห็น” “นั่นล่ะคือนิพพาน”
คือเวลาเห็นมันก็เห็นอยู่ เห็นไหม มันมีไง มันมีคือจุดเทียนให้เห็นไฟใช่ไหมแล้วก็ดับไฟ พอดับไฟมันก็ไม่เห็นไง ดับไฟมันก็ไม่มีแล้วใช่ไหม
เห็น จุดไฟก็เห็น ดับไฟก็เห็น นั่นแหละคือนิพพาน คือมันมีไฟ แต่เขาดับแล้วมันมีอยู่ แต่มันไม่มี เพราะดับไฟ
คำตอบของพระพุทธเจ้านี่ชัด เพราะเราอ่าน จะอ้างพระไตรปิฎก เดี๋ยวนี้อ้างไม่ได้แล้วนะ เขาบอกพระไตรปิฎกยังไม่สมบูรณ์ไง แต่เราอ่านฉบับแปลนี่แหละในพระไตรปิฎก เขาถามนิพพานพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็จุดเทียน “เห็นเทียนไหม” ท่านถามด้วยนะ “เห็นเทียนไหม เห็นไฟไหม” “เห็น” ดับไฟชับ! “เห็นไฟไหม” “ไม่เห็น” “นั่นล่ะคือนิพพาน” โอ้โฮ! ยิ่งงงใหญ่เลย
แต่สำหรับเรา เราไปอ่านเจอเข้า ภาษาเรานะ เราก็อืม! เพราะท่านจะให้เห็นว่า จุดไฟก็เห็น ดับไฟก็เห็นว่ามันดับไป จุดไฟมันเผาผลาญไง จุดไฟมันคือความร้อน มันเผาผลาญเรา มันเห็นไหม เห็น ดับไฟ เห็นไหมว่าไฟดับไหม เห็น ถ้าไฟดับแล้วมีความร้อนไหม ไม่มี แต่มันมีอยู่ เพราะเราเห็นไฟเมื่อกี้นี้ นี่ไง ถ้าเราศึกษาแล้วเราจะเข้าใจอย่างนั้น
ฉะนั้น ไอ้ที่ว่าไม่มีการไปและไม่มีการมา เขาจะพูดถึงนิพพาน มันไม่มีการไปและไม่มีการมา มันไม่มีการเคลื่อนไหวคือมันคงที่ของมัน ถ้าคงที่ของมันโดยสมบูรณ์แบบของมัน แต่ก็ไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก ไม่ใช่อยากดีอยากเด่นอยากสร้างทุกข์ แต่มีของมัน มีแบบนิพพาน
ไม่มีการไปและไม่มีการมา แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ไม่มีการไป ไม่มีการมา มันเป็นใบ้หรือเปล่า มันบ้าหรือ คนบ้ามันถึงไม่รู้เรื่อง ไม่มีการไปและไม่มีการมา
เราจะบอกว่า ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นของท่าน ท่านพูดของท่านแล้วก็จบคือท่านพูดด้วยความไม่สงสัย ไอ้คนฟังฟังแล้วสงสัย แล้วไอ้พวกเราไอ้พวกไม่รู้เรื่อง แต่มันเป็นผลไง เป็นวิบากเป็นผลที่ใครทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วไม่มีการไปและไม่มีการมา เอาเลย จะวิเคราะห์วิจัยไม่มีการไปและไม่มีการมาให้ฟัง แสดงว่าฉันรู้ๆ แล้วพอฉันรู้ นี่เขาบอกว่าฟังแล้วเวียนหัวมากเลย ยิ่งไปฟังยิ่งเวียนหัวมากเลยไอ้คนรู้ๆ มันตอบเวียนหัวตายเลย เพราะมันตอบด้วยความไม่รู้ไง ธรรมะก็คือธรรมะแบบนี้
ไอ้นี่พูดถึงว่าไม่มีการไปและไม่มีการมา ไม่มีการไปและไม่มีการมา เขาทำเพื่อรู้ เราปฏิบัติเพื่อรู้ ถ้ารู้แล้วนะ ไอ้ที่ไม่มีการไปและไม่มีการมามันก็ไม่ต้องเอามาเถียงกัน ไอ้คนที่ว่าไม่มีการไปและไม่มีการมา ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านเน้นย้ำ คำนี้เราฟังจากหลวงตาหลายที หลวงตาเวลาท่านเทศน์ของท่านนะ เวลาเทศน์ถึงที่สุดแล้วท่านจะเน้นที่ผลน่ะ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ เทศน์เหมือนเครื่องบิน เครื่องบินมันเริ่มแท็กซี่เข้าสู่ลานบินก่อน แล้วเวลามันจะขึ้น ขึ้นไปก็ขึ้นไปเลย ตั้งแต่สัมมาสมาธิ ขึ้นไปโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาครูบาอาจารย์เทศน์น่ะ ทีนี้เวลาเทศน์ขึ้นไปมันจะขึ้นไปเรื่อยๆ เลย ฉะนั้น เวลาไปถึงที่สุดไง เวลาถึงที่สุดแล้วพอมันไปของมันนี่ไง ท่านบอกมันไม่มีการไปและไม่มีการมา มันนิ่งของมัน มันอยู่ของมัน จะพูดถึงมรรคผลไง
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านพูดถึงเหตุ เหตุคือการกระทำกระทำเสร็จแล้วผลจะได้รับอย่างนี้ๆๆ ถ้าทำผิด ผลจะเป็นอย่างนี้ๆๆ แล้วทำถูกผลจะเป็นอย่างนี้ๆๆ แต่ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันสรุปลงแล้วมันจะเป็นโสดาบันอย่างนี้ จะเป็นสกิทาคามีอย่างนี้ จะเป็นอนาคามีอย่างนี้ เวลาเป็นอนาคามี บ้านร้างแต่มีคนอยู่ เวลาทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทำฐีติจิต พูดถึงจิตเดิมแท้ทำลายจิตเดิมแท้นั้นซะ พอทำลายจิตเดิมแท้นั้นซะ นี่ไม่มีการไปและไม่มีการมา นี่เวลาหลวงตาท่านเทศน์ หลวงตาท่านเทศน์บ่อย เทศน์บ่อยเพราะอะไร เพราะคนมันรู้จริงเขาจะอธิบายด้วยมรรคด้วยผลในใจไง ด้วยมรรคด้วยผลในใจ
แต่เราพวกเรา เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราก็เดินตามครูบาอาจารย์ที่จะจูงเราไปใช่ไหม คนตาบอดก็เดินให้ครูบาอาจารย์ที่ตาสว่างจูงไป พอจูงไปๆท่านจูงไป แต่เราปฏิบัติไปไม่ถึงไง ปฏิบัติไปไม่ถึง เราก็พยายามจะเรียนรู้ ถ้าเรียนรู้ ทำเพื่อรู้ๆ ถ้าทำเพื่อรู้ก็จบไง
แต่นี่มันไม่อย่างนั้นน่ะสิ ไปฟังในอินเทอร์เน็ต ยิ่งฟังยิ่งเวียนหัวๆ ก็อยากจะฟังให้เป็น จะฟังให้รู้ไง
จะฟังให้รู้ไม่มี ต้องทำให้รู้ ถ้าทำให้รู้แล้ว มันรู้จริงขึ้นมามันจะเข้าใจหมดแล้วอย่าถามมาอีกนะ เดี๋ยวก็ไปเก็บในเว็บไซต์มาถามอีกน่ะ โอ้โฮ! ตายห่าเลยคือมันเป็นคารม สัญญาอารมณ์ใครก็พูดได้ แล้วพูดอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้นน่ะ เขาพูดออกมามันมีน้ำหนักไหม มันมีความน่าเชื่อถือไหม ถ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ คำว่า “ไม่มีการไปและไม่มีการมา” เขาจะบอกถึงว่านิพพาน ว่านิพพานเป็นแบบนี้ แต่อธิบายไม่เป็น อธิบายไม่ได้
แต่ถ้าเป็นหลวงตา เป็นครูบาอาจารย์เราท่านบอกนิพพาน ทีนี้เวลาท่านพูดท่านเทศนาว่าการ คือท่านแสดงธรรมอยู่คนเดียว ไอ้ผู้รับฟังอย่างเราเปิดหูกว้างๆรับฟังเลย ท่านก็บอกให้เราเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
ถ้าท่านมีโอกาสให้เราถาม ท่านจะอธิบายเลย ก็ของอยู่ในใจท่าน ของอยู่ในใจ ของนั้นทำไมจะพูดไม่ได้ ก็ของกูถืออยู่นี่ มึงถามสิ กูถืออะไรอยู่ กูจะบอกว่ากูถืออะไรอยู่ นี่พูดถึงถ้ามีคนถามนะ ทีนี้แสดงธรรมอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่มีใครถามท่านก็พูดของท่านอย่างนี้ แล้วเราก็ฟังของเรามาไง ถ้าฟังของเรามาแล้วมันก็เป็นประโยชน์กับผู้ฟัง ไม่มีการไปและไม่มีการมา จบ
ถาม : ลูกขอถามหลวงพ่อ ช่วยอธิบายลูกด้วยเจ้าค่ะ
๑. นั่งสมาธิจะมีแสงสว่างสีขาวเกิดขึ้นจากจุดปลายทางและสว่างจ้ามาหาตัวลูกและหายไป แล้วไปเริ่มใหม่หลายครั้ง
คำถาม การเกิดนิมิตแบบนี้เป็นการเข้าสมาธิขั้นต้นพื้นฐานใช่ไหมเจ้าคะ
๒. สำนวนไทย รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ขอให้หลวงพ่ออธิบายคำว่า “บั่นและต่อ” ด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : เออ! กินข้าวไม่ถามเลยเนาะ เวลากินข้าวอะไรอร่อยๆ ไม่ยกให้หลวงพ่อบ้างวะ เฮ้ย! ถ้วยนี้อร่อย เก็บไว้ถวายหลวงพ่อเว้ย! ไม่มีเลยน่ะ
“นั่งสมาธิมีแสงสว่างสีขาวเกิดขึ้นที่ปลายทางแล้วสว่างจ้าเข้ามาถึงตัวลูกแล้วหายไป แล้วเริ่มใหม่อย่างนี้หลายครั้ง”
นิมิตแบบนี้มันเป็น ไม่ต้องไปตกใจทั้งสิ้น บางคนเวลาจิตมันจะสงบ พุทโธๆๆ มันจะจิตสงบมันก็สงบลงเฉยๆ ส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ จิตจะสงบลงเฉยๆ คนที่โดยสร้างจริตนิสัยคืออำนาจวาสนาของคนแต่ละคนนะ
ดูสิ ชาวพุทธเราคนที่ไม่เข้าวัดเข้าวา เป็นชาวพุทธนะ เวลานักขัตฤกษ์ไปวัดไปวากันทั้งนั้นน่ะ แต่เขาจะไม่มาวัด เขาจะไม่นั่งสมาธิภาวนา เขาจะบอกไม่ได้เดี๋ยวมันจะบ้า นี่เขากลัว เข้าวัดเขาก็กลัวทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเขาไปเที่ยวเล่นของเขาเขาสนุกของเขา เขาชอบ นั่นพูดถึงชาวพุทธอย่างนั้นนะ นี่เราจะเทียบวาสนาให้เห็นก่อน
ฉะนั้น ไอ้นี่วาสนาโดย ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เวลาปฏิบัติแล้ว อย่างมากมันแค่สงบลงเฉยๆ ขอให้สงบได้จริงๆ เถอะ เพราะเราปฏิบัติเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าจิตสงบแล้ว เป็นการยืนยันว่าเรามีสติสัมปชัญญะ ตัวตนของเราพร้อมสมบูรณ์ มีสมาธิ เราจะไม่เป็นเหยื่อของสังคม นี่ถ้าเป็นสมาธิ มันมีผลประโยชน์อย่างนั้น
แล้วถ้าอีกจำนวนหนึ่ง อีกจำนวนหนึ่งเวลาจิตสงบแล้วมันจะเห็นนิมิต ถ้าเห็นนิมิตนี่เป็นส่วนน้อย ส่วนน้อย ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เห็นนิมิตหรอก เห็นนิมิตนี่น้อยมาก เพราะว่าคนเห็นนิมิต จริตมันต้องสร้างมาแตกต่างกับเขา ถ้าจริตมันสร้างมาแตกต่างกับเขา เวลาจิตมันสงบแล้วมันจะมีแสงสว่างออกจากตัวเลย แสงสว่างมันจะออกมาจากตัวอย่างนี้ก็มี แล้วถ้าแสงสว่างมันไหลเข้ามาอย่างนี้ก็มี แสงสว่างมันเป็นเหมือนลูกไฟวิ่งเข้ามาก็มี แล้ววิ่งเข้ามาแล้วก็หายไป แล้วก็ขึ้นใหม่ไอ้นี่ก็คือนิมิต ไม่มีอะไรเลย จิตมันเป็นนิมิตเฉยๆ บางทีมันจะเป็นแสงพุ่งเข้ามาหาเราเลย แสงบางทีพุ่งเข้ามา หลบ อู้ฮู! นึกว่าเขาจะยิงเอา นั่งๆ อยู่ แสงมันจะพุ่งเข้ามาเลย ร้องใหญ่เลย เอ๊ะ! ไม่เห็นมีอะไร นี่มันเป็นอาการ มันเป็นอาการทั้งนั้นมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เรานั่งอยู่ไม่เห็นมีอะไร เว้นไว้แต่คนเป็นลม เวลาหน้าวูบดาวเต็มเลย เว้นไว้แต่เป็นลม แต่ถ้าไม่เป็นลม ไม่มี
แต่ถ้านั่งสมาธิ คำว่า “จะมี” ต้องมีสติสมบูรณ์ แล้วถ้ามันมีมานะ เราตั้งสติไว้เดี๋ยวหายไปเอง มันจะมาอยู่อย่างนี้
ส่วนใหญ่แล้วมันแปลกไง คนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นใช่ไหม พอเห็นก็อยากรู้ๆโอ้โฮ! อยากรู้มันก็หลอกใหญ่เลย แหม! นวลเชียว เดี๋ยวก็นวลมาเชียว แค่นั้นแหละ แต่มันจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นเพราะพุทโธนี่แหละ เพราะพุทโธๆ จิตเรามันยกระดับขึ้นมันถึงเห็นอย่างนั้นได้ ถ้าจิตเราไม่ยกระดับขึ้น มันก็ตาเนื้อนี่ไง ก็เห็นกันอย่างนี้ ถ้าจิตยกระดับขึ้นมันจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ถ้าเห็นอย่างนี้ปั๊บ ก็ผ่านไป
คำถาม “การเกิดนิมิตแบบนี้เป็นการเข้าสมาธิขั้นต้น เป็นพื้นฐานใช่ไหมเจ้าคะ”
เราจะบอกว่า มันต้องเป็นสมาธิแล้วมันถึงเห็นแสงนั้นได้ คนยังไม่เข้าสมาธิแสงนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นี่เขาบอกว่า “พอเห็นแสงแล้วจะเข้าสมาธิ”
จิตมันสงบ จิตมีพื้นฐาน มันถึงมีสิ่งนั้นมา ถ้ามีสิ่งนั้นมาแล้ว เรากำหนดพุทโธต่อเนื่องไป เราจะผ่านสิ่งนี้ไป
เวลาเราเทศน์บนศาลา เรื่องนี้เราจะบอกว่าเหมือนกับสวนข้างทาง เราเดินทางไป เราจะเข้าบ้านเรา ก่อนเข้าบ้านมันจะมีสวน มีสวน มีดอกไม้ มีสวนน่ารื่นรมย์ แล้วก็ขอเชิญค่ะ ขอเชิญพักที่นี่ก่อน...ติดนิมิตไง ติดนิมิตคือติดสวนหน้าบ้านน่ะ
ถ้าเราจะเข้าบ้านเรา เราไม่ติดสวนหน้าบ้านเรา เพราะสวนหน้าบ้านเรา เราก็เป็นคนทำเอง สวนหน้าบ้านเรา เราก็เป็นคนปลูกต้นไม้เอง เราก็รดน้ำเอง แล้วเอ็งก็จะมาติดสวนของเอ็งเองหรือ เออ! สวนเราก็ทำเองใช่ไหม แล้วเราก็ผ่านสวนนั้นไป เราก็เข้าบ้านไป คือพุทโธต่อเนื่องไป
พุทโธๆ ถ้ามันเจอสิ่งใด เราก็พุทโธต่อเนื่องไปๆ ไอ้สิ่งนี้มันก็จะมาล่อตลอดคนเห็นอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันก็เป็นแบบนี้ ฉะนั้น การจะเห็นนิมิตสิ่งใดก็แล้วแต่ เรากำหนดพุทโธชัดๆ ตั้งสติชัดๆ
แล้วไม่ต้องไปเสียดายนะ บางคนจะเสียดายว่า อ้าว! ก็สมบัติผลัดกันชมของเรามีก็ควรจะชื่นชมมันน่ะ
ถ้าชื่นชมมันก็เหมือนกับเราส่งออก เราใช้พลังงานนั้นไป แต่ถ้าเราเก็บของเราไว้ แล้วเราเข้าสู่สมาธิหรือเราพิจารณาของเราไป อันนี้คือสมบัติของเรานะ
จริตนิสัย จริตนิสัยมันจะเป็นไป เอตทัคคะมันจะเป็นอย่างนี้ แบบว่ามันเป็นธรรมดาของจิตอย่างนั้น แต่ถ้าเรามาติดตรงนี้ สิ่งที่เราควรจะประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผล มันเลยไปติดตรงนี้ไง พอติดตรงนี้ก็เป็นปุถุชน ไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าเราปฏิบัติไป เราได้มรรคได้ผลขึ้นไป ไอ้นี่จะเป็นสมบัติติดตัวเราไปเลยแล้วเราได้มรรคได้ผลต่างหาก สำคัญตรงได้มรรคได้ผล ไอ้นี่เป็นเรื่องปลีกย่อย
“๒. สำนวนไทย รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ให้อธิบายคำว่า “บั่น””
บั่น รักยาวให้บั่น คือว่าเราไม่พูดเหน็บแนมกัน เราไม่พูดให้มีปัญหาต่อกันรักยาวให้บั่นไง รักยาวคือเราจะอนาคตยาวไกล เราจะคบกันไปนานๆ น่ะ เล็กๆน้อยๆ เรื่องหยุมหยิมไม่ต้องไปคิดถึงมันน่ะ เรื่องหยุมหยิมมองข้ามไป รักยาวไง
ถ้ารักสั้นนะ เรื่องอะไรกูก็จะล่อมึงน่ะ รักสั้นน่ะ อัดกัน เดี๋ยวก็ขาดกัน
เล็กๆ น้อยๆ เรื่องหยุมๆ หยิมๆ นะ มองข้ามมันไป เรื่องหยุมๆ หยิมๆ เราอย่าไปยุ่งกับมัน มันเรื่องธรรมดา เขาคิดไม่ได้ เขาเข้าใจผิด เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์เราปล่อยไป มองข้ามไป นี่บั่น บั่นอารมณ์เราไง บั่นความคิดของเราที่จะไปล่อเขาจะไปเหน็บไปแนมเขา จะไปทำอะไรเขา
รักยาวให้บั่น คือเราไม่ไปจับผิดใคร เราไม่ไปมองแต่ความบกพร่องของใครเรามองข้ามไป มันก็จะได้ไปยาวๆ
รักสั้นให้ต่อ รักสั้นให้ต่อ รักสั้นๆ คอยจับผิดเขาเยอะๆ ล่อเขาเลย จบกันตรงนั้นน่ะ มันไม่ไปไหนหรอก รักสั้นให้ต่อ ก็มันสั้นๆ ไง ต่อไปเถอะ ต่อสาวราวเรื่อง เดี๋ยวก็จบ แล้วมันก็ไม่ได้อะไร
นี่พูดถึงว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ สำนวนไทยไง เราเอามาพูดบ่อย พูดเพื่อเตือนสติ นี่พูดเพื่อเตือนสติกันเฉยๆ นะ ฉะนั้น ตอบปัญหาจบแล้ว จบ